“Off-page SEO” หรือ “Off-site SEO” คือ การทำให้อันดับเว็บไซต์ของเราดีขึ้น โดยใช้ปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ หัวใจสำคัญของการทำ Off-page ก็คือ แบคลิงก์ (Backlink) ซึ่งหมายถึงลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่เชื่อมโยงมาหาเว็บไซต์ของเรา ลิงก์เหล่านี้เปรียบเสมือนคะแนนโหวตจากเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งแสดงถึงความน่าเชื่อถือและความนิยมของเว็บไซต์ของเรา
การทำ Off-page SEO เป็นหนึ่งในวิธีสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ Backlink จึงสำคัญมาก เนื่องจากเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ Google ใช้ตรวจสอบและจัดอันดับเว็บไซต์ผ่านระบบประมวลผล หรือที่เรียกว่า Algorithm (อัลกอริทึม)
เพราะการที่เว็บไซต์จะติดหน้าแรกได้นอกจากต้องมีคอนเทนต์ที่ดีตรงความต้องการของผู้อ่านแล้ว เว็บไซต์ยังต้องเป็นที่รู้จักและยอมรับในหมู่มาก หรือ เรียกอีกอย่างว่าเว็บไซต์ของเรามีความน่าเชื่อถือ (Authority) ในมุมมองของ Google นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น
Website A เป็นเว็บไซต์ของกูรูด้าน Digital Marketing ที่ได้รับการยอมรับมาเป็นเวลานานหลายปี
Website B เป็นเว็บไซต์ของนักเขียนมือสมัครเล่นที่เพิ่งเริ่มทำไม่นาน
ทั้งสองเว็บไซต์เขียนบทความเกี่ยวกับวิธีทำ SEO ซึ่งเนื้อหาคล้ายคลึงกัน แต่…
บทความของ Website A มีการทำ Research และ A/B Testing หลายเดือน พร้อม Case Study จากแบรนด์ชื่อดัง
ในขณะที่บทความของ Website B เขียนมาจากความรู้เท่าที่มีและ Rewrite บทความจากเว็บอื่น
ต่อมา Website C และ Website D ต้องการเขียนบทความทำนองเดียวกัน แต่อ้างอิงเนื้อหาจาก Website A เท่านั้น เพราะ Website A น่าเชื่อถือมากกว่า ทั้งในเรื่องข้อมูลและชื่อเสียงของเว็บไซต์
หากมีเว็บไซต์อื่น ๆ อ้างถึง Website A มากขึ้นอีก ก็อาจเป็นสัญญาณให้ Google Algorithm จัดอันดับ Website A สูงขึ้นได้
ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า คุณภาพของเว็บไซต์และเนื้อหา ในมุมมองของ Google ไม่ใช่แค่ความสวยงามหรือการใช้งานที่สะดวกรวดเร็วเท่านั้น แต่ต้องมอบประโยชน์หรือคุณค่าให้ผู้อ่านด้วย และการทำ Off-page SEO ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยการันตีความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์นั่นเอง
1.เตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมก่อนทำ Off-page SEO
การที่เว็บไซต์ของเราได้ Backlink เพิ่ม เป็นสัญญาณบอก Google ว่าเว็บไซต์ของเรายังสำคัญและเป็นที่ต้องการอยู่ แต่ก็ใช่ว่าเราจะตะบี้ตะบันสร้าง Backlink ได้ทันที เพราะก่อนที่จะให้ใครมาชื่นชม ก็ต้องปรับปรุงเว็บเว็บไซต์และเนื้อหาของเราให้ดีจริงซะก่อน เช่น การแก้ไขเนื้อหาให้ถูกต้อง สดใหม่ การปรับแก้ On-page การปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บ (Page Load Speed) ฯลฯ
สิ่งที่ทำให้การทำ Off-page SEO ไม่เห็นผลชัดเจนและถาวร มักเกิดจากการที่นักการตลาดหลายๆ คนมองข้ามความสำคัญของการเตรียมเว็บไซต์ให้พร้อมนี่เอง
2.สร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ
“Backlink ที่มีคุณภาพ” หมายความว่า เว็บไซต์ต้นทางต้องเป็นเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ และได้รับการยอมรับในวงกว้าง ที่สำคัญคือ ต้องมีเนื้อหาหรือบริบทที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเราด้วย เช่น เว็บไซต์ที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางก็ควรมี Backlink จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวกับเครื่องสำอางหรือความสวยความงาม
ทั้งนี้เราสามารถควบคุมคุณภาพของ Backlink โดยเลือกสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องตามที่ได้กล่าวไป รวมถึงหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องและป้องกันไม่ให้มี Backlink ที่ถูกสร้างอย่างผิดวิธี เช่น Backlink จากเว็บไซต์ผิดกฎหมาย Backlink ที่ใช้โปรแกรมสร้างลิงก์ขึ้นมาจำนวนมาก ฯลฯ Backlink เหล่านี้อาจถูก Google มองว่าเป็นแนวทางสายดำ (Black Hat SEO) ที่มักส่งผลในด้านลบต่อเว็บไซต์และมีโอกาสถูกลงโทษจาก Google ได้
3.เพิ่มปริมาณ Backlink อย่างเป็นธรรมชาติ
โดยปกติแล้ว การมี Backlink จำนวนมากมายังเว็บไซต์ของเรามักส่งผลดี แต่หากมีมากและรวดเร็วเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นนอกจากเรื่องคุณภาพแล้ว ยังต้องคำนึงถึงอัตราการเติบโตของลิงก์ (Link velocity) ที่ดูเป็นธรรมชาติด้วย แต่หากเว็บไซต์ได้รับ Backlink ในปริมาณที่เหมาะสมและค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ตามกราฟด้านบนนี้ ก็จะทำให้มีโอกาสที่จะติดหน้าแรกมากขึ้น อีกทั้งยังง่ายต่อการรักษาจำนวน Backlink ในอนาคตด้วย
มาถึงตรงนี้ เราก็พอจะทราบกันแล้วว่า Off-page SEO คืออะไร และมีความสำคัญมากน้อยเพียงไรต่อการที่เว็บไซต์จะติดหน้าแรกบน Google โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางแผนทำ Off-page SEO หรือ Backlink ให้เป็นธรรมชาติ ถึงแม้ว่าสิ่งนี้เป็นปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ซึ่งยากต่อการควบคุม แต่หากเราวางแผนให้ดี ควบคู่กับการทำเนื้อหาที่มีคุณภาพอยู่เสมอ การที่เว็บไซต์จะติดหน้าแรกก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว